วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2562

แมวพันธุ์สโนว์ชู (Snowshoe)

แมวพันธุ์สโนว์ชู (Snowshoe)



ลักษณะทางกายภาพ

แมวพันธุ์สโนว์ชูจะมีขนที่สั้นและมีความอ่อนนุ่ม ประกอบไปด้วยสีฟ้า สีม่วง สีน้ำตาล หรือลตัวที่มีสีซีดแต่มีสีเข้มตามรยางค์ ได้แก่ ใบหน้า หู หาง หรือ เท้า แมวสโนว์ชูเป็นแมวที่มีลำตัวยาวขนาดปานกลางที่มีดวงตาสีฟ้า นอกจากนี้ยังรูปร่างเป็นนักกีฬาและมีความแข็งแรง เท้าของแมวที่มีสีขาวจะเป็นส่วนที่โดดเด่นที่สุดที่ทำให้แยกออกจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆได้ โดยปกติแล้วสีขาวนั้นมักจะยาวขึ้นมาถึงระดับข้อเท้า ทำให้เหมือนแมวกำลังใส่ถุงเท้าหรือรองเท้าบูท

บุคลิกภาพและอารมณ์

ถ้าหากว่าคุณเจ้าของต้องการแมวที่ชอบการอยู่อย่างสันโดษหรือมีความสัมพันธ์กับความครอบครัวเพียงเล็กน้อยนั้น ขอบอกเลยว่าแมวสโนว์ชูนั้นไม่เหมาะกับคุณ เนื่องจากแมวสโนว์ชูนี้เป็นแมวที่มีความเป็นมิตรและชอบความสนใจ โดยเฉพาะต้องการได้รับความรัก แมวพันธุ์นี้ไม่เหมาะต่อการถูกทอดทิ้งเป็นระยะเวลานานๆ ค่อนข้างที่จะชอบเข้าสังคม แมวพันธุ์นี้ค่อนข้างเข้าได้ดีกับทุกคน แต่จะมีแนวโน้มที่จะชื่นชอบคนใดคนหนึ่งในบ้านมากเป็นพิเศษและจะมีความอายเมื่อพบเห็นคนแปลกหน้า สโนว์ชูเป็นแมวที่ฉลาดและมีอารมณ์ดี มีความชื่นชอบน้ำและไม่กลัวที่ตัวจะเปียกน้ำ ในบางครั้งแมวอาจจะไปว่ายน้ำในอ่างอาบน้ำบ้าง สโนว์ชูไม่ใช่แมวที่ชอบส่งเสียงแต่ก็ไม่ใช่แมวที่เงียบด้วย แมวพันธุ์นี้มักจะชอบส่งเสียงและชอบพูดคุย

ประวัติและที่มา

ในช่วงปลายปี 1960 นักปรับปรุงพันธุ์แมววิเชียรมาศชาว Philadelphia ได้เริ่มทำการหาลูกแมวสามตัวที่มีลักษณะของแมววิเชียรมาศที่พบเห็นได้บ่อย แต่จะมีลักษณะที่เหมือนใส่ถุงเท้าขาว และได้อุทิศเวลาทั้งหมดของเธอกับการพัฒนาสายพันธุ์นี้ แต่การดำเนินงานนั้นเป็นไปค่อนข้างช้าและมักไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เธอจึงเริ่มขอความช่วยเหลือจากนักปรับปรุงพันธุ์อีกคน ชื่อ Vikki Olander จากเมือง Norfolk ประเทศ Virginia โดย Vikki ได้ทำตามแผนเดิมของเธอโดยการผสมแมววิเชียรมาศกับแมวขนสั้นของอเมริกาเพื่อให้ได้ลักษณะที่ต้องการ
ในปี 1974 สมาคมคนรักแมวและสมาคม American Cat Association ได้ยอมรับแมวพันธุ์สโนว์ชูเป็นแมวสายพันธุ์การทดลอง ซึ่งการดำเนินงานก็ยังคงเป็นไปอย่างช้าๆ เนื่องจากมีนักปรับปรุงพันธุ์จำนวนน้อยที่ให้ความสนใจ จนถึงปี 1977 ก็ยังมีเพียงแมวสโนว์ชูจำนวนหนึ่งที่ได้รับการจดทะเบียน ในอีกไม่กี่ปีต่อมาแมวสโนว์ชูได้รับความสนใจมากขึ้น Vikkiได้ร่วมทำงานกับนักปรับปรุงพันธุ์อื่นๆอีกมากมาย และผลจากการทำงานหนักทำให้ประสบความสำเร็จ ทำให้กลุ่มคนรักแมวได้เลื่อนระดับของแมวสโนว์ชูจากแมวที่ทำการทดลองไปเป็นแมวสายพันธุ์ชั่วคราว และในปี 1982 แมวสโนว์ชูได้รับการอนุมัติการเป็นแชมป์จากกลุ่มคนรักแมว และสมาคม American Cat Fanciers Associationได้ทำการอนุมัติตามมาในปี 1990 และในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปั้น แมวสโนว์ชูตัวแรกที่ได้รับรางวัล คือ Birmack Lowansa ของ Nishna

แมวสโนว์ชูนั้นเป็นแมวที่พบได้ค่อนข้างน้อยเนื่องจากมีลักษณะที่มีความจำเพาะมาก และมักจะไม่มีการผสมข้ามกับแมวขนสั้นอเมริกันแล้ว โดยนักปรับปรุงพันธุ์จะชื่นชอบแมวขนสั้นที่มีลักษณะเดิมของแมววิเชียรมาศมากกว่า แม้ว่าช่วงแรกจะมีการพัฒนาอย่างช้าๆแต่ว่าแมวสายพันธุ์ใหม่นี้ได้เริ่มเข้ามาครองใจเหล่าคนรักสัตว์เพิ่มมากขึ้นทั่วโลก

ที่มา : https://www.honestdocs.co/snowshoe-cat-breed

แมวพันธุ์เปอร์เซีย (Persian Cat)

แมวพันธุ์เปอร์เซีย (Persian Cat)



ลักษณะภายนอก

แมวเปอร์เซียเป็นแมวที่มีขนาดปานกลาง อีกทั้งยังมีร่างกายที่ทรงตัวได้ดีและมีใบหน้าที่ดูน่ารัก นอกจากนี้มันยังมีศีรษะที่ทั้งใหญ่และเป็นรูปทรงกลม มีหูขนาดเล็ก และมีหางสั้นเมื่อเทียบกับแมวพันธุ์อื่นๆ เดิมทีแล้วแมวพันธุ์นี้มีจมูกและปากที่สั้น เมื่อเวลาผ่านไป ลักษณะที่ว่าก็ยิ่งเด่นชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในแถบทวีปอเมริกาเหนือ อย่างไรก็ตาม แมวเปอร์เซียเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพมากมาย โดยเฉพาะปัญหาไซนัสและการหายใจ นอกจากนี้แมวเปอร์เซียที่มีหน้าและปากสั้นอาจมีฝุ่นและเศษขยะสะสมภายในรูจมูก ทำให้ยากต่อการหายใจ
อย่างไรก็ตาม แมวเปอร์เซียมีชื่อเสียงในแง่ที่มันมีขนยาวและเหมือนผ้าไหมที่ส่องแสงแวววาว แม้ว่าแมวสีเงินจะได้รับความนิยมในปัจจุบัน แต่ความจริงแล้วแมวชนิดนี้มีสีขนมากกว่า 80 สี ตัวอย่างเช่น สีดำ สีน้ำเงิน สีครีม และสีที่เหมือนกับเขม่าควัน

นิสัยและอารมณ์

แมวพันธุ์นี้สามารถอยู่เฉยๆ เป็นเวลานาน แต่มันกลับเป็นแมวที่ฉลาดมากและรักการเล่น เพียงแต่ไม่ได้ขี้สงสัยเหมือนกับแมวพันธุ์อื่นๆ อย่างไรก็ตาม แมวเปอร์เซียนับว่าเป็นเพื่อนที่ดี โดยเฉพาะหากคุณกำลังมองหาแมวที่น่ารักและว่านอนสอนง่าย นอกจากนี้แมวเปอร์เซียยังชอบแสดงความรักมากและเพลิดเพลินกับการถูกลูบตัว และมันจะไม่รบกวนเพื่อเรียกร้องความสนใจ

การดูแล

แมวพันธุ์นี้จำเป็นต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่จากเจ้าของเป็นอย่างมาก เจ้าของจำเป็นต้องหวีขนทุกวันเพื่อให้ขนแมวอยู่ในสภาพที่สวยงาม เป็นทรง และไม่พันกัน อย่างไรก็ตาม เจ้าของบางคนอาจตัดขนให้แมว โดยเฉพาะรอบๆ รูก้น เพื่อป้องกันไม่ให้อุจจาระติดขน

ความเป็นมาและภูมิหลัง

แมวเปอร์เซียได้เข้าร่วมในงานโชว์แมวที่จัดขึ้นที่ Crystal Palace ณ ประเทศอังกฤษเมื่อช่วงต้นปี ค.ศ.1871 ในปีเดียวกันนี้ Cat Fanciers Association (CFA) ได้ขึ้นทะเบียนแมวเปอร์เซียเป็นครั้งแรก บรรพบุรุษของแมวพันธุ์นี้ถูกพบในยุโรปช่วงต้นศตวรรษที่ 16 ซึ่งมันอาจถูกพามาโดยชาวโรมันและชาวฟีนีเชียนจากเปอร์เซียและตุรกี
อย่างไรก็ดี ยังเป็นที่เชื่ออย่างกว้างขวางว่ายีนส์ด้อยของแมวขนยาวพบได้ในแมวตามธรรมชาติที่อาศัยอยู่ในบริเวณภูเขาของเปอร์เซีย อย่างไรก็ดี แมวเปอร์เซียเหล่านี้ถูกนำเข้ามายังอิตาลีในช่วงศตวรรษที่ 17 โดยนักเดินทางชาวอิตาเลียนที่มีชื่อว่า Pietro della Valle ซึ่งในหนังสือที่เขาบันทึกนั้นมีการระบุว่าแมวเปอร์เซียเป็นแมวสีเทาที่มีขนยาวเหมือนผ้าไหม
นอกจากนี้นักดาราศาสตร์ที่มีชื่อว่า Nicholas-Claude Fabri de Peiresc  ก็ได้นำแมวเปอร์เซียจำนวนมากจากประเทศตุรกีมายังประเทศฝรั่งเศส หลังจากนั้นแมวเปอร์เซียก็ถูกนำเข้ามาในประเทศอังกฤษโดยนักเดินทาง ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองของแมวเปอร์เซีย ซึ่ง Blue Persians เป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก เพราะสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียแห่งสหราชอาณาจักรทรงเลี้ยงแมวชนิดดังกล่าว 2 ตัว อย่างไรก็ตาม แมวเปอร์เซียไม่ถูกนำเข้าไปในแถบทวีปอเมริกาเหนือจนกระทั่งศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงที่ได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็ว

แมวพันธุ์วิเชียรมาศ (Siamese Cat)

แมวพันธุ์วิเชียรมาศ (Siamese Cat)



ลักษณะภายนอก

แมวพันธุ์วิเชียรมาศมีใบหูขนาดใหญ่ที่โดดเด่น และมีดวงตาสีน้ำเงินชวนดึงดูด ขนที่สั้นและละเอียด รวมถึงโครงร่างที่ยาวเรียวยิ่งทำให้แมวมีรูปร่างที่ดูผอมเพรียวและมีขนที่ดูสลวย โดยทั่วไปแล้วแมวชนิดนี้มี 4 สีคือ สีครั่ง สีช็อกโกแลต สีน้ำเงิน และสีกลีบบัว ซึ่งลำตัวของแมวจะมีสีเหล่านี้แต่จะมีสีเข้มมากเป็นพิเศษบริเวณใบหน้า ใบหู เท้า และหาง

นิสัยและอารมณ์

แมวชนิดนี้เป็นแมวที่ชอบเข้าสังคมและชอบอยู่กับมนุษย์ อีกทั้งยังเป็นแมวที่ชอบส่งเสียงร้อง อย่างไรก็ตาม แมวพันธุ์นี้อาจไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน เพราะแมวจะเหงาและเศร้าได้อย่างง่ายดาย เจ้าของจำเป็นต้องดูแลแมวอย่างระมัดระวัง หากคุณให้ความรัก มีความอดทน และดูแลมันอย่างดี แมวพันธุ์นี้ก็จะเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับคุณ

ความเป็นมาและภูมิหลัง

แมวที่มีชื่อเสียงระดับโลกพันธุ์นี้มีภูมิหลังที่ยาวนานและเต็มไปด้วยสีสัน ทั้งนี้แมววิเชียรมาศมีต้นกำเนิดมาจากประเทศไทย หรือชื่อเดิมคือ สยาม ด้วยความที่มันเป็นแมวที่มีรูปลักษณ์และพฤติกรรมที่น่าสนใจ ทำให้แมวเป็นที่ชื่นชอบในหมู่ราชวงศ์ เมื่อมีสมาชิกในราชวงศ์สวรรคต มีความเชื่อว่าแมววิเชียรมาศจะเป็นผู้รับจิตวิญญาณ นอกจากนี้แมววิเชียรมาศก็ยังถูกนำไปเลี้ยงในวัด โดยทำหน้าที่เป็นแมวรับใช้
อย่างไรก็ดี แมววิเชียรมาศยังไปปรากฏใน Cat Book of Poems ซึ่งเป็นหนังสือที่เขียนด้วยลายมือในระหว่างปี ค.ศ.1350 และ ค.ศ.1767 ซึ่งได้มีการอธิบายว่าแมววิเชียรมาศมีรูปร่างที่ผอมเพรียว และมีสีดำบริเวณหู หาง เท้า และมีขนสีซีดบริเวณอื่นๆ ของลำตัว
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการทราบที่แน่ชัดว่าแมวพันธุ์นี้เข้ามาปรากฏตัวในประเทศอังกฤษเมื่อไร แต่มีบันทึกล่าสุดระบุว่า มีแมววิเชียรมาศคู่หนึ่งถูกมอบให้กับพี่สาวของเอกอัครราชทูตชาวอังกฤษที่ประจำอยู่ที่กรุงเทพฯ ในปี ค.ศ.1884  และแมวเหล่านี้ก็ได้ปรากฏตัวในลอนดอนปีถัดมา ซึ่งมีหลักฐานล่าสุดระบุว่ามันได้แสดงตัวครั้งแรกในงาน Cat Show เมื่อปี ค.ศ.1871 แต่ปรากฏว่ามันไม่ได้รับการยอมรับสักเท่าไร ถึงกระนั้นก็ตาม แมววิเชียรมาศกลับขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว และเริ่มได้รับความนิยมในภูมิภาคอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ดี มีการรายงานว่าแมววิเชียรมาศตัวแรกที่ถูกนำเข้าไปในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นถูกมอบให้กับ Mrs. Rutherford B. Hayes ซึ่งเป็นภริยาของประธานาธิบดีคนที่ 19 ในปี ค.ศ.1978 และในช่วงศตวรรษที่ 20 แมววิเชียรมาศได้เข้าร่วมงานแสดงแมวมากมาย และในปัจจุบันก็ได้กลายเป็นแมวพันธุ์ขนสั้นระดับต้นๆ

ที่มา https://www.honestdocs.co/siamese-cat

แมวพันธุ์ศุภลักษณ์ (Burmese)

แมวพันธุ์ศุภลักษณ์ (Burmese)




แมวพันธุ์ศุภลักษณ์เป็นแมวที่มักใกล้ชิดกับคน ซึ่งแมวพันธุ์นี้เกือบจะเหมือนสุนัขตรงที่พวกมันมีแนวโน้มที่จะติดตามเจ้าของเพื่อมอบและรับความรัก ความจริงแล้วมีแมวพันธุ์ศุภลักษณ์หลายตัวที่เรียนรู้วิธีการเล่นคาบสิ่งของมาให้เจ้าของด้วยซ้ำ

ลักษณะภายนอก

ลักษณะภายนอกของแมวพันธุ์นี้ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งมีมาตรฐานของปี ค.ศ.1953 ระบุว่าแมวศุภลักษณ์มีลำตัวขนาดกลางที่ยาวและงดงาม ในขณะที่มาตรฐานของปี ค.ศ.1957 ระบุว่าแมวพันธุ์นี้เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างแมวพันธุ์พื้นเมืองขนสั้นและแมวพันธุ์วิเชียรมาศ
อย่างไรก็ตาม แมวพันธุ์นี้สามารถถูกแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ European Burmese และ Contemporary Burmese ซึ่งแมวชนิดแรกนั้นมีจมูกและปากที่ยาวและแคบกว่า โดยมีรอยแยกที่จมูกไม่เด่นชัด อีกทั้งยังมีศีรษะที่แคบกว่าเล็กน้อย ในขณะที่แมวชนิดที่สองนั้นมีจมูกและปากที่สั้นและกว้างมากกว่า รวมถึงมีรอยแยกตรงจมูกที่ชัดเจน และมีศีรษะที่กว้างและเป็นทรงกลมมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น แมวชนิด Contemporary Burmese มีสีขนเป็นสีน้ำตาล ในขณะที่ European Burmese มีสีขนที่ดูสว่างกว่าอย่างสีแดง

นิสัยและอารมณ์

แมวพันธุ์ศุภลักษณ์เป็นแมวที่ฉลาด เปี่ยมล้นไปด้วยพลัง ขี้เล่น และทำให้คนขบขันกับพฤติกรรมที่แปลกพิกล อย่างไรก็ตาม อารมณ์ของแมวตัวเมียและตัวผู้มีความแตกต่างบางประการ แมวตัวเมียดูขี้สงสัยและติดเจ้าของมากกว่า ในขณะที่แมวตัวผู้ทำตัวเงียบมากกว่า แต่ไม่ว่าจะเป็นแมวเพศใดก็ล้วนแต่ชอบอยู่เป็นเพื่อนมนุษย์ อีกทั้งยังแสดงความสนใจในอาหารเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ดี เสียงของแมวพันธุ์นี้มีลักษณะเหมือนกับเสียงของม้าที่เจ็บคอเพราะส่งเสียงร้องมากเกินไป แต่เสียงกลับเบากว่าแมวพันธุ์วิเชียรมาศ และจะส่งเสียงในลำคอเมื่อกระสับกระส่ายหรือหงุดหงิด

ความเป็นมาและภูมิหลัง

ภูมิหลังของแมวศุภลักษณ์เกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีที่แล้ว และมีตำนานว่าบรรพบุรุษของแมวพันธุ์นี้เป็นที่สักการะอยู่ในวัดในฐานะของพระเจ้าในประเทศพม่า อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเห็นด้วยว่าแมวพื้นเมืองพันธุ์นี้มีที่มาจาก Wong Mau ซึ่งเป็นแมวเพศเมียที่พบในประเทศพม่า และถูกส่งไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงต้นของคริสต์ทศวรรษ 1930 โดย Dr. Joseph Thompson
หลังจากที่ Thompson ได้แมวดังกล่าวแล้ว เขาก็เริ่มทำการเพาะพันธุ์ โดยผสมข้ามสายพันธุ์กับแมวพันธุ์วิเชียรมาศแบบแต้มสีครั่งที่มีชื่อว่า Tai Mau ลูกแมวที่ได้ออกมานั้นมีทั้งสีเบจ สีน้ำตาล และลายแต้ม ซึ่งแมวสีน้ำตาลได้ถูกนำมาผสมกับแมวตัวอื่น หรือกับแม่ของมันจนได้แมวพันธุ์ศุภลักษณ์เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี แมวพันธุ์นี้ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจาก Cat Fancier's Association (CFA) ในปี ค.ศ.1936 แต่เมื่อมีผู้เพาะพันธุ์จำนวนมากที่เริ่มนำแมวจากประเทศพม่าเข้ามายังประเทศสหรัฐอเมริกา ความเข้มข้นของแมวสายพันธุ์นี้ก็เริ่มเจือจาง ทำให้ CFA ไม่ยอมรับแมวพันธุ์นี้ แต่นักเพาะพันธุ์แมวก็พยายามปรับปรุงสายพันธุ์จนสุดท้ายมันก็กลับมาได้รับการยอมรับอีกครั้งในปี ค.ศ.1953 และได้ดำรงตำแหน่งแชมป์ในปี ค.ศ.1959

ที่มา : https://www.honestdocs.co/burmese

แมวพันธุ์อเมริกัน ช็อทแฮร์ (American shorthair)

แมวพันธุ์อเมริกัน ช็อทแฮร์ (American shorthair)

ลักษณะภายนอก

อเมริกัน ช็อทแฮร์เป็นแมวที่แข็งแรงและมีนิสัยที่น่ารัก โดยมีลำตัวขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถทรงตัวได้ดีและมีความทนทาน สำหรับสีขนที่ดึงดูดสายตามากที่สุดคือ สีเงินที่มีรอยแต้มสีดำ ซึ่งเป็นหนึ่งในสีขนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่ตอนนี้มีสีขนที่พบแล้วมากถึง 60 สี

นิสัยและอารมณ์

แมวพันธุ์นี้มีเสียงเบาและสามารถปรับตัวได้ดี ซึ่งมีความแตกต่างจากแมวหลายตัวตรงที่ไม่ร้องเพื่อเรียกความสนใจ อีกทั้งไม่ค่อยแสดงความรักและไม่ไว้ตัวมากจนเกินไป อย่างไรก็ดี อเมริกัน ช็อทแฮร์เป็นแมวที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการให้แมวนั่งสงบเสงี่ยมบนตัก และไม่กระโจนหรือไม่วิ่งรอบบ้านมากจนเกินไป
เจ้าของสามารถฝึกแมวพันธุ์นี้ได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้มันยังเป็นแมวที่ซื่อสัตย์ต่อครอบครัว และสามารถเข้ากับเด็ก สุนัข และสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ ภายในบ้าน

การดูแล

เจ้าของไม่จำเป็นต้องดูแลรักษาแมวพันธุ์นี้มากเป็นพิเศษ ซึ่งมันเป็นหนึ่งในแมวที่มีสุขภาพดีมากที่สุด แต่ก็ยังคงต้องกินอาหารที่สมดุล ฉีดวัคซีน และตรวจร่างกายทุกปี เจ้าของอาจตัดขนให้แมวเป็นครั้งคราว แม้ว่าแมวพันธุ์นี้มีพลังงานมาก แต่มันก็ชอบเคลื่อนไหวแบบไม่รีบร้อน คุณอาจให้เขาออกกำลังกายในรูปแบบของการเล่นที่ไม่หนักจนเกินไป

สุขภาพ

แมวพันธุ์นี้มีต้นกำเนิดมาจากแมวที่เลี้ยงไว้ในฟาร์มเพื่อทำงาน ซึ่งผู้เพาะพันธุ์แมวได้ใส่ใจในการดูแลแมวจนทำให้ยีนพูล (Gene Pool) แข็งแรง อเมริกัน ช็อทแฮร์จึงเป็นหนึ่งในแมวพันธุ์ที่มีสุขภาพดีมากที่สุด ซึ่งอายุขัยโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระหว่าง 15-20 ปี

ความเป็นมาและภูมิหลัง

ความเป็นมาของแมวพันธุ์นี้เกิดขึ้นมานานกว่า 300 ปี รากเหง้าของแมวพันธุ์ขนสั้นนั้นเริ่มต้นที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งคนนำแมวมาเลี้ยงไว้ในบ้าน โดยขึ้นชื่อเรื่องทักษะการทำงาน โดยเฉพาะความสามารถในการควบคุมจำนวนหนูบ้าน ด้วยเหตุนี้มันจึงถูกนำขึ้นเรือไปด้วยเพื่อช่วยกำจัดหนูที่ขโมยอาหาร      
ในช่วงประมาณปี ค.ศ.1620-ค.ศ.1630 โรคกาฬโรคเกิดการแพร่ระบาดในประเทศอังกฤษ ซึ่งคนมักโทษว่าแมวเป็นตัวการของโรค ทำให้แมวถูกกำจัด แต่หารู้ไม่ว่าเมื่อไม่มีแมว จำนวนประชากรของหนูซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคที่แท้จริงก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ในท้ายที่สุดแล้วคนก็พบความสัมพันธ์ของโรคดังกล่าวและหนู ทำให้ภาพลักษณ์ของแมวพันธุ์บริติช ช็อทแฮร์กลับมาดูดีอีกครั้ง ซึ่งสุดท้ายแล้วลูกหลานของแมวพันธุ์นี้ก็คือ อเมริกัน ช็อทแฮร์นั่นเอง ซึ่งได้มีการพัฒนาสายพันธุ์เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม แต่ก็ยังคงสถานะแมวที่เจ้าของสามารถไว้วางใจและทำงานในฟาร์มได้อย่างมีประสิทธิผล
อย่างไรก็ตาม มีหลายปัจจัยที่ทำให้รูปร่างและนิสัยของแมวพันธุ์อเมริกัน ช็อทแฮร์เปลี่ยนไป ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดก็คือ องค์ประกอบด้านสิ่งแวดล้อมและการผสมข้ามสายพันธุ์ทั้งแบบที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและเกิดจากมนุษย์ อย่างไรก็ดี การปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติเป็นเรื่องที่จำเป็นต่อการเอาชีวิตรอด และธรรมชาติจะคัดเลือกเฉพาะแมวที่สามารถมีชีวิตรอดในอากาศที่หนาวเย็นมากและร้อนมาก ทำให้แมวพันธุ์นี้ในปัจจุบันแข็งแรง ทนทาน และทำตัวง่ายๆ สบายๆ
ในปี ค.ศ.1960 Cat Fanciers Association (CFA) ได้ขึ้นทะเบียนแมวพันธุ์นี้ ต่อมาในปี ค.ศ.1965 อเมริกัน ช็อทแฮร์ก็ได้รับเกียรติสูงสุดเมื่อมีแมวตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Shawnee ได้ถูกยกให้เป็นแมวแห่งปีโดย CFA

แมวพันธุ์เอ็กซ์โซติก ช็อทแฮร์ (Exotic Shorthair)

แมวพันธุ์เอ็กซ์โซติก ช็อทแฮร์ (Exotic Shorthair)



เอ็กซ์โซติก ช็อทแฮร์ หรือที่รู้จักกันในชื่อของเปอร์เซียขนสั้นนั้นมีภูมิหลังเพียงแค่ประมาณ 50 ปีเท่านั้น โดยเป็นแมวที่ได้รับความนิยมในหมู่คนที่รักความสงบ แมวพันธุ์นี้มีมุมขี้เล่น แต่มันกลับชอบนอนกอดและผ่อนคลายเสียเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้มันยังเป็นหนึ่งในแมวพันธุ์ที่ชอบแสดงความรักมากที่สุด อีกทั้งยังมีรูปลักษณ์ที่สวยงามและดูแลง่าย ที่สำคัญคือ ขนของแมวชนิดนี้ร่วงน้อย

ลักษณะภายนอก

อ็กซ์โซติก ช็อทแฮร์อาจเรียกว่าเป็นแมวเปอร์เซียชนิดขนสั้นก็ได้ เพราะมันมีลักษณะตามมาตรฐานที่ตรงกับแมวพันธุ์เปอร์เซียทุกอย่างยกเว้นเส้นขน ซึ่งแมวเปอร์เซียมีขนที่หนาและยาว เจ้าของจำเป็นต้องหวีขนให้แมวทุกวันเพื่อป้องกันไม่ให้ขนพันกัน ในขณะที่เอ็กซ์โซติก ช็อทแฮร์มีขนยาวปานกลางที่หนาและสวยงาม โดยมีขนชั้นในที่หนาเช่นกัน ด้วยความที่แมวพันธุ์นี้มีขนที่หนา ทำให้มันเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าความเป็นจริง ในขณะที่น้ำหนักตัวของเอ็กซ์โซติก ช็อทแฮร์อาจมากถึง 15 ปอนด์ แต่มันยังคงส่วนสูงที่ค่อนข้างเตี้ยไว้ นอกจากนี้มันยังมีร่างกายที่กะทัดรัด ดูปราดเปรียว มีคอที่สั้นแต่แข็งแรง มีใบหน้าที่สั้นและกว้างคล้ายกับแมวเปอร์เซีย หูสั้น ตาโต จมูกสั้นและศีรษะใหญ่ สำหรับสีขนที่พบได้นั้นก็มีทุกสี และมีทุกลาย โดยประกอบไปด้วยสีแต้มที่เหมือนกับแมวพันธุ์วิเชียรมาศ สีขาว สีที่เป็นลาย และสีขนที่มีสามสี

การดูแล

เจ้าของไม่จำเป็นต้องหวีขนให้แมวพันธุ์นี้ทุกวัน เพราะขนร่วงไม่มาก การหวีขนให้สัปดาห์ละครั้งก็นับว่าเพียงพอแล้ว

สุขภาพ

แมวพันธุ์นี้ไม่มีแนวโน้มเป็นโรคหรือมีความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เฉพาะเจาะจง แต่มันกลับมีปัญหาที่เกิดจากจมูกและดวงตา ซึ่งตำแหน่งของอวัยวะเหล่านี้อยู่ใกล้กัน นอกจากนี้ท่อน้ำตาของมันก็มีโอกาสที่จะทำงานมากกว่าปกติ ทำให้เกิดคราบน้ำตาบนใบหน้า ซึ่งเจ้าของสามารถทำความสะอาดโดยใช้ผ้าที่ชื้น อย่างไรก็ดี  เอ็กซ์โซติก ช็อทแฮร์อาจมีปัญหาเกี่ยวกับไซนัสเป็นบางครั้ง หรือปัญหาเกี่ยวกับการจัดเรียงฟัน เพราะมันมีกรามที่สั้นและมีโอกาสที่ฟันจะเก ในขณะที่จมูกที่สั้นทำให้มันไวต่อความร้อน อุณหภูมิที่สูงอาจทำให้การหายใจมีปัญหา แม้ว่าแมวพันธุ์นี้ชอบให้มนุษย์สัมผัส และจะใช้เวลาส่วนมากไปกับการนอนบนตัก แต่มันก็มักจะมองหาสถานที่ๆ ช่วยให้ร่างกายเย็นลง ตัวอย่างเช่น พื้นที่ไม่ได้ปูพรม อิฐ และกระเบื้อง

นิสัยและอารมณ์

แมวพันธุ์นี้ในช่วงแรกๆ นั้นมีความกระตือรือร้นมากกว่าแมวเปอร์เซีย เพราะมีการผสมข้ามสายพันธุ์สำหรับยีนส์ขนสั้น แต่ในช่วง 40 กว่าปีที่ผ่านมาโดยนับตั้งแต่ที่เริ่มมีแมวสายพันธุ์นี้ เอ็กซ์โซติก ช็อทแฮร์มีพฤติกรรมและลักษณะภายนอกที่เหมือนกับแมวเปอร์เซียมากขึ้น อีกทั้งยังขี้เล่น ทำตัวง่ายๆ และสงบเสงี่ยมมากกว่า ซึ่งเหมาะสำหรับครอบครัวที่มีเด็กและไม่มีเด็ก และเหมาะสำหรับคนในเมืองและต่างจังหวัด ยิ่งไปกว่านั้น แมวพันธุ์นี้ยังเข้ากับสัตว์อื่นๆ ได้เป็นอย่างดี แต่โน้มเอียงไปทางคนมากกว่า รวมถึงไม่ค่อยส่งเสียง และมีเสียงที่เบาเมื่อจำเป็นต้องร้อง

ความเป็นมาและภูมิหลัง

จุดกำเนิดของแมวพันธุ์นี้เริ่มต้นในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1950 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นักเพาะพันธุ์แมวชาวอเมริกันที่มีชื่อว่า Carolyn Bussey ได้นำแมวมาผสมข้ามสายพันธุ์ โดยใช้แมวพันธุ์เปอร์เซียและแมวพันธุ์บราวน์ เบอร์มิส โดยมีความหวังว่าจะได้แมวพันธุ์เปอร์เซียสีน้ำตาล แต่สุดท้ายแล้วกลับได้ลูกแมวสีดำแทน
ในขณะเดียวกันก็มีการนำแมวพันธุ์อเมริกัน ชอทแฮร์มาผสมกับแมวเปอร์เซียเพื่อผลิตแมวที่มีเส้นขนดีกว่าเดิม และสร้างรูปลักษณ์ใหม่ของแมวพันธุ์ขนสั้น ต่อมามีการนำมาตรฐานในการเพาะพันธุ์ที่ถูกต้องของ Ms. Bussey มาใช้เพื่อผสมสายพันธุ์ และสุดท้ายแล้วก็ได้กลายมาเป็นแมวพันธุ์เอ็กซ์โซติก ช็อทแฮร์อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้

ที่มา : https://www.honestdocs.co/exotic-shorthair

แมวพันธุ์โซโกก ฟอเรสต์ แคท (Sokoke Forest Cat)

แมวพันธุ์โซโกก ฟอเรสต์แคท (Sokoke Forest Cat)





แมวสุดแปลกพันธุ์นี้มีต้นกำเนิดอยู่ที่เขตโซโกกซึ่งอยู่ทางภูมิภาคตะวันออกของประเทศเคนยา แต่มีการพัฒนาสายพันธุ์ของแมวในประเทศเดนมาร์ก อย่างไรก็ดี การมีลวดลายของขนที่ผิดปกติทำให้มันเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนที่งานแสดงแมว และการมีนิสัยที่เป็นมิตรยังทำให้โซโกก ฟอเรสต์ แคทเป็นแมวที่เหมาะสำหรับเลี้ยงเป็นเพื่อน

ลักษณะภายนอก

โซโกก ฟอเรสต์ แคทมีลักษณะภายนอกเหมือนแมวป่า แมวพันธุ์นี้มีลำตัวขนาดกลางและดูสง่างาม แม้ว่ามันเป็นแมวที่ผอมเพรียวแต่ก็เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ขาหลังของแมวสูงกว่าขาหน้า ส่วนหางของแมวนั้นก็มีลักษณะแหลมและเรียวนอกจากนี้โซโกก ฟอเรสต์ แคทยังเป็นแมวที่มีศีรษะเล็ก และมีดวงตาเป็นรูปทรงอัลมอนด์ที่มักเป็นสีอำพันไปจนถึงสีเขียวอ่อน
สำหรับลักษณะเด่นที่สุดของแมวพันธุ์นี้คือ การมีขนที่ผิดปกติ ซึ่งขนของมันมีลักษณะมันวาว สั้น และติดตามร่างกายเมื่อสัมผัส ลวดลายของขนมีความคล้ายคลึงกับแมวลายเสือที่ดูมีลวดลายคล้ายลายไม้ สีขนที่พบได้นั้นมีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนโทนอบอุ่นไปจนถึงสีน้ำตาลเชสนัทแบบเข้ม

นิสัยและอารมณ์

แม้ว่าแมวพันธุ์นี้มาจากในป่า แต่เราก็สามารถฝึกให้แมวเชื่องได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม โซโกก ฟอเรสต์ แคทไม่เรียกร้องความสนใจ หรือไม่ชอบถูกกอดบนตัก แต่แมวที่เป็นมิตรพันธุ์นี้จะแสดงความรักต่อเจ้าของโดยเดินตามไปรอบๆ บ้าน นอกจากนี้มันยังเป็นแมวที่ชอบส่งเสียงร้อง โดยสามารถส่งเสียงร้องได้นานเป็นชั่วโมง
โซโกก ฟอเรสต์ แคทยังเป็นแมวสายพันธุ์ที่คล่องแคล่วและมีชีวิตชีวา หากแมวถูกคุกคาม มันก็จะไม่ลังเลที่จะใช้ฟันและเล็บในการป้องกันตัว

การดูแล

เนื่องจากโซโกก ฟอเรสต์ แคทผลัดขนเพียงเล็กน้อย ดังนั้นเจ้าของจำเป็นต้องดูแลขนของแมวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยให้ใช้ถุงมือหรือหวี นอกจากนี้การอาบน้ำให้แมวพันธุ์นี้ก็เป็นเรื่องง่ายเช่นกัน เพราะมันต่างจากแมวพันธุ์อื่นตรงที่มันสามารถว่ายน้ำและกลัวน้ำน้อยกว่า

สุขภาพ

แม้ว่าโซโกก ฟอเรสต์ แคทเป็นแมวที่แข็งแรง แต่มันก็ยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคร้าย ทั้งนี้เจ้าของควรให้ความสนใจบริเวณใบหูของแมวมากเป็นพิเศษ เพราะหากมีสิ่งสกปรกมากเกินไป มันก็สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อไร นอกจากนี้เจ้าของควรตรวจสอบฝ่าเท้าของแมวเป็นประจำเพื่อดูว่ามีรอยแผลหรือรอยช้ำหรือไม่

ความเป็นมาและภูมิหลัง

เมื่อเทียบกับแมวสายพันธุ์อื่นๆ โซโกก ฟอเรสต์ แคทเป็นแมวที่ถือว่าเป็นน้องเล็ก จุดเริ่มต้นของแมวพันธุ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1977 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการค้นพบแมวและลูกแมวที่จุดสิ้นสุดของป่าในเขตโซโกกของทางภาคตะวันออกของประเทศเคนยา ซึ่งคนที่พบแมวก็คือ Jeni Slater ทั้งนี้เธอสังเกตว่าแมวทุกตัวมีรอยแต้มที่ผิดปกติ ซึ่งเธอไม่เคยเห็นมาก่อน จากนั้นเธอก็นำลูกแมวตัวผู้และตัวเมียกลับมาบ้านด้วย เธอเลี้ยงแมวจนเชื่องและเริ่มเพาะพันธุ์แมว การสอนให้แมวเชื่องได้อย่างง่ายดายนั้นสามารถบอกได้ว่าเดิมทีแล้วมันเป็นแมวบ้านที่แปรเปลี่ยนเป็นแมวป่า หรือไม่ใช่แมวป่าที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม มีหลายทฤษฎีที่ระบุถึงที่มาของแมว ตัวอย่างเช่น แมวพันธุ์นี้เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างแมวป่ากับแมวบ้านของเคนยา หรือเกิดจากการกลายพันธุ์ของแมวบ้าน แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม เมื่อชาวเดนมาร์กที่เป็นคนรักแมวที่มีชื่อว่า Gloria Moldrup มาหา Jeni Slater เธอก็ได้นำแมวคู่หนึ่งกลับไปด้วย เมื่อแมวสุดแปลกพันธุ์นี้เดินทางมาถึงประเทศเดนมาร์กและถูกนำมาโชว์ตัวในงาน JYYRAK แมวพันธุ์นี้ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในหมู่คนที่ชื่นชอบแมวที่เป็นคนท้องถิ่น และสุดท้ายมันก็กลายเป็นแมวที่ใช้กำหนดรากฐานของสายพันธุ์แมวในทวีปยุโรป

ที่มา : https://www.honestdocs.co/sokoke-forest-cat

แมวพันธุ์แมงซ์ (Manx cat)

แมวพันธุ์แมงซ์ (Manx cat)




แมงซ์เป็นแมวที่ไม่มีหาง และมีต้นกำเนิดมาจากเกาะไอล์ออฟแมนซึ่งตั้งอยู่ระหว่างประเทศอังกฤษและประเทศไอร์แลนด์ นอกจากนี้แมงซ์ยังเป็นแมวที่รักความสนุกสนานและเป็นมิตร ทำให้มันเป็นแมวที่เหมาะแก่การนำมาเป็นสัตว์เลี้ยง

ลักษณะภายนอก

แม้ว่าแมงซ์เป็นแมวที่ท้วมและมีลักษณะเป็นทรงกลม แต่มันก็มีร่างกายที่กะทัดรัดและมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง อย่างไรก็ดี ลักษณะที่ทำให้แมวพันธุ์นี้โดดเด่นที่สุดคือ หางที่สั้นกุด ซึ่งแบ่งออกเป็นสี่ประเภทคือ Rumpy, Rumpy-Riser, Stumpy และLongy ทั้งนี้แมวที่มีหางประเภท Rumpy ได้รับความนิยมมากที่สุด และเป็นที่ต้องการในงานประกวดต่างๆ ซึ่งแมวชนิดนี้ไม่มีหาง แต่จะมีรอยบุ๋มปรากฏที่บริเวณดังกล่าวแทน ในขณะที่แมวชนิด Stumpy มีหางสั้นที่ขดงอ ส่วนแมวชนิด Longy มีหางแบบปกติและได้รับความนิยมน้อยที่สุด
นอกจากนี้แมงซ์ยังมีขน 2 ชนิดคือ ขนสั้นและขนยาว ทั้งนี้แมวที่มีขนสั้นนั้นมีขนสองชั้นที่มันวาว ในขณะที่แมวขนยาวนั้นมีขนสองชั้นที่เหมือนผ้าไหมและกำมะหยี่ สำหรับสีและลวดลายที่พบได้นั้นก็มีหลากหลาย ซึ่งประกอบไปด้วยสีขาว สีดำ จุดสีน้ำตาล สี Silver Tabby และการมีปลายขนสีดำ อย่างไรก็ดี แมงซ์เป็นแมวที่มีท่าเดินที่เหมือนกระต่าย ซึ่งมันจะเคลื่อนไหวโดยการกระโดดแทนการเดิน

นิสัยและอารมณ์

แมงซ์เป็นแมวที่เป็นเพื่อนที่ดี มันสามารถปรับตัวได้ง่าย และเข้ากับสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ ในบ้านโดยเฉพาะสุนัขได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้มันยังชอบเล่นคาบสิ่งของกลับมาให้และชอบกระโดดขึ้นบนชั้นวางของสูงๆ แต่ก็จะหาเวลานอนขดกับคุณเพื่อที่จะได้อิงแอบแนบชิดกัน

ความเป็นมาและภูมิหลัง

แมงซ์เป็นแมวที่มีภูมิหลังที่ยาวนานและอาศัยอยู่ที่เกาะไอล์ออฟแมนมานานหลายศตวรรษ ซึ่งสถานที่ดังกล่าวตั้งอยู่ที่ทะเลไอริช โดยอยู่ระหว่างประเทศอังกฤษและประเทศไอร์แลนด์ อย่างไรก็ดี มีหลายเรื่องเล่าเกี่ยวกับแมวพันธุ์นี้ที่บอกถึงการมาเยือนเกาะดังกล่าวเป็นครั้งแรก มีเรื่องเล่าหนึ่งระบุว่าแมวเดินทางมาพร้อมกับชาวสเปน ซึ่งเรือได้อัปปางที่เกาะไอล์ออฟแมนในปี ค.ศ.1588 แมวว่ายน้ำมายังเกาะและตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ในขณะที่เรื่องเล่าอื่นๆ ระบุว่ามีพ่อค้าชาวฟีนีเชียน ซึ่งมาจากประเทศญี่ปุ่นที่เป็นผู้นำแมวมายังเกาะไอล์ออฟแมน นอกจากนี้บางคนยังอ้างด้วยว่าคนที่พาแมวเข้ามาก็คือพวกโจรสลัดที่เข้ามาตั้งอาณานิคม
อย่างไรก็ตาม มีหลายเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับสาเหตุว่าทำไมแมวพันธุ์นี้ถึงไม่มีหาง ซึ่งโดยมากแล้วเกิดจากการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายศตวรรษที่ผ่านมา แต่มีเรื่องเล่าหนึ่งระบุว่า แมงซ์เป็นผลจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างแมวและกระต่าย ในขณะที่มีเรื่องเล่าที่ค่อนข้างเกินจริงระบุว่า ผู้รุกรานชาวไอริชขโมยหางของแมวเพื่อนำไปทำขนที่ใช้ประดับหมวก
ในขณะที่มีอีกเรื่องราวที่น่าสนใจระบุว่ามีการนำแมวพันธุ์นี้มายังเรือโนอาร์ แต่เนื่องจากมีเวลาน้อย และแมวเป็นผู้โดยสารสุดท้ายที่ปีนขึ้นเรือ โนอาร์ได้ปิดประตูทับหางแมว อย่างไรก็ดี จากข้อมูลที่บันทึกโดยชาวอเมริกัน มีการระบุว่ามีการนำเข้าแมวพันธุ์แมงซ์ตัวแรกมาจากเกาะไอล์ออฟแมนเป็นเวลามากกว่าศตวรรษที่ผ่านมา แม้ว่ามันยังคงเป็นแมวที่หายาก แต่แมงซ์ก็ได้รับตำแหน่งแชมป์จากทุกสมาคม

ที่มา : https://www.honestdocs.co/manx-cat

แมวพันธุ์แคชเมียร์ (Kashmir Cat)

แมวพันธุ์แคชเมียร์ (Kashmir Cat)

      

แมวพันธุ์แคชเมียร์ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอนุทวีปอินเดีย ความจริงแล้วแมวที่มีนิสัยง่ายๆ สบายๆ พันธุ์นี้มีต้นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาเหนือ อย่างไรก็ตาม บางทีชื่อของแมวแคชเมียร์อาจมีที่มาจากแมวพันธุ์   หิมาลายัน ซึ่งเป็นแมวที่มีลักษณะคล้ายกัน เนื่องจากแคชเมียร์ตั้งอยู่ใกล้กับเทือกเขาหิมาลัย

ลักษณะภายนอก

แคชเมียร์เป็นแมวขนาดใหญ่ที่มีลำตัวสั้นและท้วม ขาสั้น และมีใบหน้ากลม อีกทั้งยังมีจมูกและปากที่สั้น แต่มีดวงตาที่กลมโตและดูน่ารัก ในขณะที่ลำตัวของแมวพันธุ์นี้มีขนาดกลาง อย่างไรก็ดี จุดเด่นของแมวพันธุ์แคชเมียร์คือ การมีขนที่ยาว หนา และแวววาว สำหรับสีขนที่สามารถพบได้ เช่น สีม่วงแดง หรือสีช็อกโกแลต ซึ่งขนของแมวพันธุ์นี้มีลักษณะเหมือนผ้าไหม ละเอียด และนุ่ม

นิสัยและอารมณ์

แคชเมียร์เป็นแมวที่มีท่าทางที่ดูสบายๆ สงบนิ่ง และสามารถอยู่ในแทบทุกสภาพแวดล้อม ซึ่งหมายความรวมถึง อพาร์ทเมนท์ นอกจากนี้มันยังเป็นแมวที่ฉลาดและมั่นใจในตัวเอง อย่างไรก็ดี เนื่องจากแมวพันธุ์นี้ไม่ชอบเสียงดัง มันก็อาจเข้ากับเด็กที่ทำตัววุ่นวายและสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ ได้ไม่ดีสักเท่าไรนัก นอกจากนี้แคชเมียร์เป็นแมวที่ค่อนข้างขี้เกียจ และมันอาจใช้เวลาขดตัวเป็นชั่วโมงบนโซฟาเพื่อให้ใครสักคนมาสัมผัสด้วยความรัก แม้ว่าแคชเมียร์เป็นแมวที่กระตือรือร้นน้อยกว่าแมวพันธุ์อื่นๆ แต่มันก็ต้องการให้คนสนใจและชอบเล่นบ้างเป็นครั้งคราว

การดูแล

แคชเมียร์เป็นแมวที่มีขนยาวและมีขนเหมือนผ้าไหม ทำให้เจ้าของจำเป็นต้องทำความสะอาดขนแมวเป็นประจำ ซึ่งการเริ่มอาบน้ำหรือดูแลขนให้แมวตั้งแต่เขายังเป็นเด็กนับว่าเป็นเรื่องดี โดยหมายความรวมถึงการทำความสะอาดดวงตาเป็นประจำ ทั้งนี้เจ้าของควรหวีขนให้แมวจนทั่วตัวโดยใช้หวีซี่ห่างทุกวัน และให้เน้นบริเวณขาหรือหางมากเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ดี ด้วยความที่แมวพันธุ์นี้มีขนยาว ทำให้วัตถุแปลกปลอมอย่างหนามตามพุ่มไม้หรือหญ้าอาจพันขนของแมว ซึ่งเจ้าของควรดึงสิ่งเหล่านี้อย่างระมัดระวัง ทั้งนี้การมีขนยาวทำให้ขนพันกันอย่างง่ายดายเช่นกัน ในกรณีนี้เจ้าของควรแก้ปมขนที่พันกันโดยใช้นิ้ว อย่างไรก็ตาม เจ้าของควรคลายเส้นขนที่พันกันก่อนอาบน้ำให้แมว จากนั้นให้ใช้น้ำและแชมพูล้างให้ทั่วร่างกาย และเป่าขนให้แห้งหลังอาบน้ำ

สุขภาพ

แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วแคชเมียร์เป็นแมวที่มีสุขภาพดี และอาจอายุยืนถึง 20 ปี แต่มันก็เสี่ยงต่อการติดเชื้อและการระคายเคืองที่ดวงตา นอกจากนี้ด้วยความที่มันมีจมูกสั้น แคชเมียร์ก็อาจมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ซึ่งสามารถรักษาโดยการให้ยา การเป็นโรค Polycystic kidney disease มักเป็นอีกปัญหาที่พบได้บ่อยในแมวพันธุ์นี้ หากสงสัยว่าแมวเผชิญภาวะดังกล่าว เจ้าของควรพาแมวไปพบสัตวแพทย์

ความเป็นมาและภูมิหลัง

จุดกำเนิดของแมวพันธุ์นี้เริ่มต้นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1930 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้เพาะพันธุ์แมวในอเมริกาเหนือตั้งใจพัฒนาแมวสายพันธุ์เปอร์เซียที่มีรอยแต้มเหมือนแมวพันธุ์วิเชียรมาศ สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ได้ลูกแมวที่มีขนสีช็อกโกแลตล้วนและสีม่วงอ่อน ผู้เพาะพันธุ์พิจารณาว่ามันเป็นแมวสายพันธุ์ใหม่ และตั้งชื่อให้แมวว่าแคชเมียร์ แต่ความพยายามในการพัฒนาแมวที่ว่ากลับโดนคัดค้านอย่างรุนแรง ซึ่งมีผู้ที่ชื่นชอบแมวหลายคนที่เมินเฉยแมวพันธุ์นี้ ความจริงแล้ว Canadian Cat Association เป็นหนึ่งในไม่กี่องค์กรหลักที่ยอมรับแมวพันธุ์นี้ ซึ่งตอนนี้มันก็ยังรอการยอมรับจากสมาคมที่สำคัญแห่งอื่นๆ



วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2562

แมวพันธุ์เนบีลัง (Nebelung)

แมวพันธุ์เนบีลัง (Nebelung)




ลักษณะภายนอก

 เนบีลังเป็นแมวที่สง่างามและมีลำตัวที่มีขนาดยาว อีกทั้งยังมีดวงตาสีเขียวและมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง แมวพันธุ์นี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับแมวพันธุ์รัสเซียนบลู แต่มีความแตกต่างบางประการ สำหรับจุดแตกต่างที่เด่นชัดคือ ความยาวของเส้นขน แมวพันธุ์รัสเซียนบลูมีขนสั้น ในขณะที่แมวพันธุ์เนบีลังมีขนกึ่งยาวที่นุ่มและมีลักษณะเหมือนแพรไหม อีกทั้งยังมีขนชั้นในที่หนาแน่น ขนที่มีสีน้ำเงินสว่างมีปลายขนสีเงินที่ช่วยให้แมวดูแวววาว

นิสัยและอารมณ์

เนบีลังเป็นแมวที่มีอารมณ์ไม่รุนแรง มีเสียงที่นุ่มนวล ชอบแสดงความรัก และขี้เล่น แม้ว่าแมวพันธุ์นี้มอบความรักให้คนในครอบครัว แต่มันก็จะไม่ทำตัวน่ารำคาญ อย่างไรก็ตาม เนบีลังอาจเขินอายเมื่ออยู่ใกล้คนแปลกหน้า และอาจซ่อนใต้เตียงนอนเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ในภาพรวมนั้นเนบีลังเป็นแมวที่อุทิศตัวเพื่อเจ้าของและเป็นเพื่อนที่จงรักภักดี

ความเป็นมาและภูมิหลัง

เรื่องราวของแมวพันธุ์เนบีลังนั้นเริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โปรแกรมเมอร์ที่มีชื่อว่า Cora Cobb มอบแมวบ้านขนสั้นสีดำที่ชื่อว่า Elsa ให้ลูกชายเป็นของขวัญ ในเวลาต่อมา Elsa ผสมพันธุ์กับแมวพันธุ์        รัสเซียนบลูจนได้ลูกแมว 5 ตัว ซึ่งมีทั้งสีดำและสีนำเงินและมีขนสั้น แต่มีลูกแมวหนึ่งตัวที่มีขนยาวและมีขนเป็นสีน้ำเงิน Cobb ตั้งชื่อแมวตัวผู้ตัวนี้ว่า Siegfried และเมื่อ Elsa ให้กำเนิดแมวที่มีขนยาวสีน้ำเงินอีกตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า Brunhilde เธอก็นำแมวพันธุ์นี้กลับบ้าน แมวเหล่านี้คือแมวพันธุ์เนบีลังตัวแรกๆ นั่นเอง
อย่างไรก็ดี Cobb ตั้งชื่อสายพันธุ์ว่าเนบีลัง ซึ่งมีความหมายว่าสิ่งมีชีวิตของหมอกในภาษาเยอรมัน เพราะมันมีลักษณะภายนอกที่เป็นเอกลักษณ์ หลังจากที่เธอติดต่อ Dr. Solveig Pflueger ซึ่งเป็นประธานด้านพันธุศาสตร์ที่ International Cat Association's (TICA) เธอก็ได้รับคำแนะนำว่าให้เขียนมาตรฐานของสายพันธุ์ ทั้งนี้ Cobb เลือกที่จะเขียนมาตรฐานให้ใกล้เคียงกับมาตรฐานของแมวพันธุ์รัสเซียนบลูยกเว้นส่วนที่อธิบายถึงความยาวของเส้นขน
ในปี ค.ศ.1987 TICA ยอมรับเนบีลัง แต่กลุ่มคนที่ชื่นชอบแมวพันธุ์รัสเซียนบลูกลับลังเลที่จะยอมรับแมวสายพันธุ์ใหม่ นอกจากนี้พวกเขายังต่อต้านการนำแมวมาผสมข้ามสายพันธุ์ ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับ Cobb ในการเพาะพันธุ์แมวสายพันธุ์นี้
สุดท้ายแล้วในปี ค.ศ.1988 เจ้าของๆ แมวพันธุ์รัสเซียนบลูตัวหนึ่งได้ยินยอมให้แมวของตัวเองมาผสมข้ามสายพันธุ์กับลูกแมวตัวเมียของ Brunhilde นับตั้งแต่นั้นมาจำนวนแมวพันธุ์เนบีลังก็เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีชื่อเสียงมากขึ้นตามไปด้วย แต่ทั้งนี้มันก็ยังไม่ได้รับการยอมรับจาก Cat Fanciers Association

ที่มา : https://www.honestdocs.co/nebelung

แมวพันธุ์ซิมริค (Cymric)

แมวพันธุ์ซิมริค (Cymric)




ลักษณะภายนอก

ซิมริคเป็นเป็นแมวที่มีขนาดกลาง มีกระดูกที่แข็ง และมีโครงสร้างร่างกายที่แข็งแรง ซึ่งมันมีลักษณะภายนอกคล้ายคลึงกับแมวพันธุ์แมงซ์ยกเว้นส่วนขนที่มีลักษณะยาวและหนากว่า เนื้อสัมผัสของเส้นขนนั้นนุ่มเหมือนแพรไหมและแวววาว และขนชั้นในที่เหมือนขนแกะนั้นมีความหนามากกว่าขนชั้นนอก
อย่างไรก็ตาม ลักษณะที่โดดเด่นมากที่สุดของแมวพันธุ์นี้ก็คือ การไม่มีหางแบบแมวทั่วไป แมวพันธุ์นี้มีความยาวของหางหลายแบบ โดยประกอบไปด้วย Rumpy, Rumpy-Riser, Stumpy และ Longy อย่างไรก็ดี หางแบบ Longy คือหางชนิดที่มีความยาวมากที่สุดเมื่อเทียบกับหางชนิดอื่นๆ และมันได้รับความนิยมน้อยที่สุด ชนิดของแมวพันธุ์นี้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ ชนิดไร้หาง หรือที่เรียกว่า Rumpy

นิสัยและอารมณ์

ซิมริคเป็นแมวที่จงรักภักดีและสุภาพ ซึ่งมันแทบจะไม่สร้างปัญหา และชอบสุงสิงกับสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ โดยเฉพาะสุนัข อย่างไรก็ดี เจ้าของสามารถฝึกแมวพันธุ์นี้ได้อย่างง่ายดาย แต่ต้องป้องกันไม่ให้แมวกระโดดขึ้นไปยังชั้นวางของสูงๆ แม้ว่ามันเป็นแมวที่คล่องแคล่ว แต่มันสามารถได้รับบาดเจ็บเมื่อกระโดดสูง นอกจากนี้ซิมริคยังเป็นแมวที่ชอบน้ำ แต่ก็ไม่ชอบถูกจับลงไปในน้ำ

ความเป็นมาและภูมิหลัง

แมวชนิดแมงซ์ให้กำเนิดลูกแมวขนยาวบนเกาะไอล์ออฟแมนมาหลายรุ่น แต่มักถูกมองว่าเป็นความแตกต่างที่ไม่เป็นที่ต้องการ ซึ่งแมวพันธุ์นี้ได้รับความสนใจในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1960 อย่างไรก็ตาม ก่อนที่แมวพันธุ์นี้จะมีชื่อเป็นของตัวเอง Althea Frahm เป็นนักเพาะพันธุ์แมวชาวแคนาดาที่อยู่เบื้องหลังของความพยายามในการตั้งชื่อแมว ซึ่งเดิมทีแล้วแมวมีชื่อว่า Manx Mutants ในขณะที่ผู้เพาะพันธุ์แมวคนอื่นๆ เลือกใช้ชื่อ Longhaired Manx ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1970 มีผู้บุกเบิกที่เป็นนักเพาะพันธุ์แมวชนิดนี้ที่มีชื่อว่า Blair Wright และ Leslie Falteisek ก็ได้ทำการเปลี่ยนชื่อแมวเป็นซิมริค
อย่างไรก็ดี ในปี ค.ศ.1976 มีการก่อตั้ง The United Cymric Association เพื่อทำให้ซิมริคเป็นที่รู้จัก และในปีเดียวกัน Canadian Cat Association ก็ได้มอบตำแหน่งแชมป์ให้แมว ซึ่งเป็นสมาคมที่มีขนาดใหญ่แห่งแรกที่ทำเช่นนี้
ในปัจจุบันซิมริคได้รับตำแหน่งแชมป์จากสมาคมส่วนมาก แต่ในปี ค.ศ.1994 Cat Fanciers' Association (CFA) ได้เปลี่ยนชื่อของแมวพันธุ์นี้เป็น Longhaired Manx ซึ่งลูกแมวที่มีขนยาวที่มีพ่อแม่เป็นแมวพันธุ์แมงซ์นั้นสามารถขึ้นทะเบียนเป็นแมวพันธุ์ซิมริค

ที่มา : https://www.honestdocs.co/cymric

แมวพันธุ์ซาวันนาห์ (Savannah)

แมวพันธุ์ซาวันนาห์ (Savannah)




ลักษณะภายนอก

แมวพันธุ์ซาวันนาห์เป็นแมวสุดแปลกที่มีลักษณะเหมือนบรรพบุรุษของมันอย่างแอฟริกัน เซอร์วอล แต่มีขนาดเล็กกว่า หนึ่งในลักษณะสำคัญที่ทำให้แมวพันธุ์นี้มีเอกลักษณ์คือ การมีจุดบนร่างกายที่โดดเด่นและชัดเจน ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งสีน้ำตาล สีแทน หรือสีทองที่มีจุดสีดำหรือสีน้ำตาล สีเงินที่มีจุดสีดำและสีเทาเข้ม สีดำที่มีจุดสีดำ และสีเงินที่มีปลายขนสีดำและมีจุดสีดำ นอกจากนี้แมวอาจมีขนเป็นลายหินอ่อน สีหิมะ และสีอื่นๆ ที่จาง
อย่างไรก็ตาม รูปลักษณ์โดยรวมของแมวพันธุ์นี้ขึ้นอยู่กับการเพาะพันธุ์และการเจือจางทางพันธุกรรม ยิ่งไปกว่านั้น ซาวันนาห์ยังมีโครงสร้างร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ มีหางที่สั้นและหนา คอยาว และขายาว ลักษณะเหล่านี้ทำให้แมวมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูสูง แต่ความจริงแล้วมันมีร่างกายขนาดกลาง และมีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักน้อยกว่าแมวบ้านตัวอื่นๆ ที่มีขนาดเหมือนกัน
ทั้งนี้หนึ่งในลักษณะที่ทำให้แมวดูโดดเด่นมากที่สุดคือ รูปทรงของดวงตาที่หลบในซึ่งมีลักษณะแบนด้านบน และใบหูที่มีขนาดใหญ่และยาว ซึ่งตั้งอยู่บนศีรษะ

นิสัยและอารมณ์

ซาวันนาห์เป็นแมวที่กระตือรือร้น ขี้สงสัย แน่วแน่ และชอบการผจญภัย อย่างไรก็ดี แมวพันธุ์นี้ต้องการมีปฏิสัมพันธ์และต้องการได้รับความสนใจทุกวันทั้งจากมนุษย์และแมว นอกจากนี้มันยังเป็นแมวที่จงรักภักดีมาก และจะสร้างความผูกพันกับมนุษย์ อย่างไรก็ดี ซาวันนาห์ไม่ใช่แมวที่ชอบนอนบนตักคน แต่มันจะแสดงความรักต่อครอบครัวมนุษย์โดยเดินตามไปรอบๆ บ้าน และใช้ศีรษะขวิดร่างกายของมนุษย์เป็นประจำ
นอกจากนี้ซาวันนาห์ยังเป็นแมวที่ชอบเล่นในน้ำ และเจ้าของสามารถฝึกให้แมวเดินโดยใช้สายจูงและบังเหียนได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้น แมวพันธุ์นี้ยังชอบเล่นเกมที่ต้องใช้ความกระตือรือร้นอย่างการวิ่งไปคาบสิ่งของ คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้แมวมีลักษณะเหมือนสุนัข

สุขภาพและการดูแล

แม้ว่าซาวันนาห์มีลักษณะที่ดูแปลกประหลาด แต่มันก็เป็นหนึ่งในแมวสายพันธุ์ที่มีสุขภาพดีมากที่สุด อย่างไรก็ตาม เจ้าของควรระวังเรื่องอาหารการกินของแมวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะขาดทอรีน ซึ่งเป็นสารอาหารที่สามารถพบได้ในเนื้อวัวและเนื้อปลา โดยเชื่อว่าแมวพันธุ์นี้มีแนวโน้มที่จะตกอยู่ในภาวะดังกล่าวมากเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้แมวจำเป็นต้องกินอาหารที่มีโปรตีนสูง และอาหารที่มีธัญพืชต่ำหรือไม่มีเลยโดยเฉพาะข้าวโพด
สำหรับอาหารที่มีทอรีนสูง เช่น เนื้อวัว สัตว์ปีก ปลา และอาหารแมว ในภาพรวมซาวันนาห์เป็นแมวที่มีสุขภาพดี ใจกล้า และแข็งแรง อีกทั้งยังถือเป็นหนึ่งในแมวบ้านที่มีสุขภาพดีมากที่สุด

ความเป็นมาและภูมิหลัง

มีการบันทึกครั้งแรกว่าแมวพันธุ์ซาวันนาห์เกิดในเดือนเมษายน ปี ค.ศ.1986 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นักเพาะพันธุ์แมวที่มีชื่อว่า Judee Frank นำแมวพันธุ์วิเชียรมาศตัวเมียที่มีน้ำหนัก 8 ปอนด์มาผสมพันธุ์กับแมวของ Suzy Wood ซึ่งเป็นแมวพันธุ์เซอร์วอลตัวผู้ที่มีน้ำหนัก 30 ปอนด์ อย่างไรก็ดี ทั้งคู่ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ลูกแมวที่สวยและสง่างาม สุดท้ายแล้ว Suzy ก็นำลูกแมวกลับบ้าน และตั้งชื่อว่า “ซาวันนาห์” ลูกแมวตัวนี้ได้กลายเป็นแมวรุ่นแรกที่เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ หลังจากนั้น Suzy ก็นำแมวพันธุ์ซาวันนาห์มาผสมพันธุ์เพื่อสร้างลูกแมวรุ่นที่ 2 ซึ่งลักษณะภายนอกที่เป็นเอกลักษณ์และบุคลิกที่ดูเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังสามารถเรียกความสนใจจาก Patrick Kell ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นผู้ที่รับลูกแมวมาเลี้ยง อย่างไรก็ดี Patrick Kelly ต้องการผลิตแมวบ้านสายพันธุ์ใหม่ และเขาได้ขอความช่วยเหลือจากนักเพาะพันธุ์แมวที่มีชื่อว่า Joyce Sroufe ซึ่งทั้งคู่ก็ได้พยายามหาวิธีสร้างแมวสายพันธุ์ที่จะได้รับการยอมรับจาก National Cat Registry สุดท้ายพวกเขาก็ประสบความสำเร็จ และได้เป็นผู้เขียนและนำเสนอมาตรฐานของแมวพันธุ์ซาวันนาห์ให้แก่ The International Cat Association (TICA) ในปี ค.ศ.1996 หลังจากนั้นในปี ค.ศ.2001 มีการยอมรับแมวสายพันธุ์นี้เป็น New Advanced Breed Class

ที่มา : https://www.honestdocs.co/savannah

แมวพันธุ์คูพารี (Coupari)

แมวพันธุ์คูพารี (Coupari)




ลักษณะภายนอก

มีการเปรียบเทียบลักษณะภายนอกของแมวพันธุ์คูพารีกับนกฮูกตรงที่มันมีดวงตาขนาดใหญ่และกลมโต ประกอบกับมีสีหน้าที่ดูใจดี มีแก้มที่อิ่มเอม และมีจมูกสั้น สำหรับลักษณะเด่นที่สำคัญของแมวพันธุ์นี้คือ ใบหูที่พับลงมานั่นเอง ซึ่งหูของแมวจะไม่พับจนกว่ามันจะมีอายุ 3 เดือน ขนที่นุ่ม ยืดหยุ่น และมีชั้นเดียวนั้นมีลักษณะยาว และมีหลายสีและลวดลาย

นิสัยและอารมณ์

คูพารีเป็นแมวที่ว่านอนสอนง่ายและชอบแสดงความรักมาก แมวพันธุ์นี้ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ และมันจะรู้สึกเศร้าหากถูกปล่อยให้อยู่เพียงลำพัง ความจริงแล้วแมวพันธุ์นี้จะส่งเสียงร้องและต้องการได้รับความสนใจเป็นบางโอกาส ซึ่งมันอาจใช้ศีรษะถูกับขาเพื่อให้เจ้าของลูบตัวแบบเร็วๆ
โดยมากแล้วแมวจะเกาะติดสมาชิกในครอบครัวเพียงคนเดียว แต่ทั้งนี้มันก็เป็นแมวที่สุภาพและใจดีต่อคนอื่นๆ และเข้ากับเด็กหรือสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้คูพารียังเป็นแมวที่ฉลาดมาก และเจ้าของสามารถสอนให้มันเดินโดยสายจูง หรือเล่นเกมคาบสิ่งของกลับมาให้

การดูแล

ด้วยความที่คูพารีมีขนยาว เจ้าของควรตัดขนให้แมวอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ดังนั้นการเริ่มตัดขนให้แมวตั้งแต่ยังเป็นเด็กจึงเป็นเรื่องที่ดี โดยใช้หวีซี่ห่างในการสางขนที่พันกัน และกำจัดขี้หูส่วนเกินในหูโดยใช้ผ้าเปียกอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง

สุขภาพ

คูพารีมีอายุขัยโดยเฉลี่ยประมาณ 15 ปี และเจ้าของควรพาสุนัขไปฉีดวัคซีนเป็นประจำ และพาไปตรวจสุขภาพ 2 ครั้งต่อปี อย่างไรก็ดี แมวพันธุ์นี้เสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจและโรคถุงน้ำในไต ซึ่งเป็นภาวะที่มักนำไปสู่การเกิดไตวาย นอกจากนี้คูพารียังเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกี่ยวกับข้อต่อ แม้ว่าเป็นโรคที่รักษาได้ แต่ก็ไม่หายขาดเสมอไป

ความเป็นมาและภูมิหลัง

แมวพันธุ์นี้มีต้นกำเนิดอยู่ที่ประเทศสก็อตแลนด์ ในปี ค.ศ.1961 มีการค้นพบว่าแมวสีขาวที่เลี้ยงในฟาร์มตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Susie มีใบหูที่ผิดปกติ ทั้งนี้ Suzie ได้ส่งต่อลักษณะที่ผิดปกติดังกล่าวให้ลูกหลาน แต่ก็มีแมวบางตัวที่มีขนยาวในขณะที่แมวบางตัวมีขนสั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการกำหนดมาตรฐานให้แมวพันธุ์สก็อตติช โฟลด์ มีการระบุถึงแมวที่มีขนสั้นเท่านั้น ส่วนแมวชนิดขนยาวนั้นกลับถูกประณามเพราะมันดูเหมือนไร้ใบหู แต่เมื่อช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 Hazel Swadberg ซึ่งเป็นผู้จัดงานแสดงแมวชาวอเมริกันก็เริ่มนำแมวพันธุ์สก็อตติช โฟลด์ชนิดขนยาวมาโชว์ตัวในงาน ซึ่งมันก็ได้กลายเป็นแมวที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับ ในปี ค.ศ.1986 The International Cat Association หรือ TICA ได้ยอมรับแมวพันธุ์นี้อย่างเป็นทางการโดยเป็นสายพันธุ์ที่แยกออกมาต่างหาก แต่มีการตั้งชื่อสายพันธุ์เป็นแมวพันธุ์สก็อตติช โฟลด์ชนิดขนยาว เมื่อถึงปี ค.ศ.1991 Cat Fanciers' Foundation หรือ CFF ได้มอบตำแหน่งแชมป์ให้แมว ในขณะเดียวกัน American Cat Fanciers' Association หรือ ACFA เรียกแมวพันธุ์นี้ว่า Highland Fold

ที่มา : https://www.honestdocs.co/coupari

แมวพันธุ์คัลเลอร์พอยท์ ช็อทแฮร์ (Colorpoint Shorthairs)

แมวพันธุ์คัลเลอร์พอยท์ ช็อทแฮร์ (Colorpoint Shorthairs)





แมวพันธุ์คัลเลอร์พอยท์ ช็อทแฮร์เป็นญาติตัวแรกของแมวพันธุ์วิเชียรมาศ และมีสีที่แตกต่างกันมากถึง 16 สี ซึ่งมากกว่าแมวพันธุ์วิเชียรมาศที่มี 4 สี อย่างไรก็ดี คัลเลอร์พอยท์ ช็อทแฮร์เป็นแมวที่ชอบความสนุกสนาน

ลักษณะภายนอก

คัลเลอร์พอยท์ ช็อทแฮร์เป็นแมวที่ดูเหมือนแมวพันธุ์วิเชียรมาศ ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นฝาแฝดกันก็ได้ อย่างไรก็ดี แมวพันธุ์นี้มีลำตัวขนาดกลางที่ยาวและดูสง่างาม อีกทั้งยังมีช่วงตัวที่แคบและมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง นอกจากนี้คัลเลอร์พอยท์ ช็อทแฮร์ยังเป็นแมวที่มีดวงตาเป็นรูปทรงอัลมอนด์ มีขาที่ผอมเพรียว และมีหางที่เรียว อย่างไรก็ตาม แมวพันธุ์นี้ต่างจากแมวพันธุ์วิเชียรมาศตรงที่มีหลากสี ซึ่งประกอบไปด้วยสีแดง สีครีม สีกระดองเต่า และสีที่เกิดจากการผสมของสีเหล่านี้

นิสัยและอารมณ์

ชีวิตของคุณจะไม่น่าเบื่ออีกต่อไปเมื่อมีแมวพันธุ์นี้อยู่ใกล้ๆ ซึ่งมันมีลักษณะคล้ายคลึงกับแมวพันธุ์วิเชียรมาศหรือญาติของมันตรงที่มีนิสัยเปิดเผยอย่างการผูกมิตรได้อย่างง่ายดาย การส่งเสียงร้องอย่างต่อเนื่อง และการเลียเจ้าของด้วยความรัก  นอกจากนี้คัลเลอร์พอยท์ ช็อทแฮร์เป็นแมวที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย หากมีคนร้องไห้ แมวพันธุ์นี้ก็จะพยายามปลอบใจ

สุขภาพ

แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วแมวพันธุ์นี้มีสุขภาพดี แต่มันก็ยังเสี่ยงต่อการประสบปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง เช่น การมีกระดูกสันอกยื่น และโรค Endocardial Fibroelastosis

ความเป็นมาและภูมิหลัง

คนมักสับสนระหว่างแมวพันธุ์คัลเลอร์พอยท์ ช็อทแฮร์และแมวพันธุ์วิเชียรมาศ ความจริงแล้วบางคนเชื่อว่าแมวชนิดนี้ก็ไม่ได้ต่างจากวิเชียรมาศสักเท่าไร ทั้งนี้คัลเลอร์พอยท์ ช็อทแฮร์ถือกำเนิดขึ้นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1940 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้เพาะพันธุ์แมวพยายามสร้างแมวที่ช่วยเสริมลักษณะของวิเชียรมาศแต่มีสีมากกว่าสีดั้งเดิมที่มีเพียง 4 สี
ทั้งนี้ผู้เพาะพันธุ์แมวนำแมวสามชนิดมาผสมข้ามสายพันธุ์ ซึ่งประกอบไปด้วยแมวพันธุ์วิเชียรมาศ อะบีสซีเนียน และโดเมสติก ช็อทแฮร์สีแดง (มีการใช้แมวพันธุ์อเมริกันช็อทแฮร์เช่นกัน) หลังจากที่พยายามและล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วน การเพาะพันธุ์ที่ว่าก็ประสบความสำเร็จ ซึ่งมีการนำแมวสายพันธุ์นี้มาผสมข้ามสายพันธุ์กับวิเชียรมาศอีกครั้งเพื่อรักษารูปแบบของลำตัวและนิสัย อย่างไรก็ดี สุดท้ายแล้วคนที่ชอบแมวทั้งหลายก็ได้เห็นพ้องต้องกันว่าจะตั้งชื่อแมวเป็นคัลเลอร์พอยท์ ช็อทแฮร์เพื่อไม่ให้เกิดการต่อต้านจากผู้เพาะพันธุ์แมวพันธุ์วิเชียรมาศ
อย่างไรก็ตาม The Cat Fanciers’ Association ได้มอบตำแหน่งแชมป์ให้แมวพันธุ์นี้ในปี ค.ศ.1964 และมีสมาคมที่สำคัญหลายแห่งที่ทำเช่นนี้ แม้ว่าส่วนมากมีการใช้มาตรฐานของแมวพันธุ์วิเชียรมาศในการกำหนดมาตรฐานของแมวพันธุ์คัลเลอร์พอยท์ ช็อทแฮร์

ที่มา : https://www.honestdocs.co/colorpoint-shorthairs

แมวพันธุ์อเมริกัน เคิร์ล (American Curl)

แมวพันธุ์อเมริกัน เคิร์ล (American Curl)




ลักษณะภายนอก

โดยทั่วไปแล้วแมวชนิดนี้มีสัดส่วนที่ดูดีและมีลำตัวที่ผอมเพรียว ขนของแมวพันธุ์นี้มีลักษณะนุ่ม มีเนื้อสัมผัสเหมือนผ้าไหม เบา และไม่มีขนชั้นใน อย่างไรก็ดี เนื่องจากมีการนำแมวมาผสมข้ามสายพันธุ์ ทำให้เราสามารถพบแมวชนิดนี้ได้หลายสี และพบได้ทั้งชนิดขนยาวและขนสั้น
หูของอเมริกัน เคิร์ลมีขนาดใหญ่ปานกลาง โดยมีฐานที่กว้างและมีลักษณะเปิด อีกทั้งยังมีปลายหูที่หยักศก ถ้าจะให้ดี หูของแมวไม่ควรงอไปด้านหลังจนแตะกะโหลกศีรษะ แต่ควรงอไปด้านหลังและชี้เข้าหากันโดยทำมุม 90 องศา ซึ่งมีลักษณะคล้ายพระจันทร์เสี้ยว
เริ่มแรกนั้นลูกแมวมีลักษณะที่ดูเหมือนกับแมวตัวอื่นๆ แต่มีใบหูขนาดใหญ่และมีลักษณะเปิด ภายใน 1 สัปดาห์ หูของแมวจะงอไปด้านหลัง ขดตัว และคลายตัวตลอดช่วงเวลานี้จนแมวมีอายุ 4 เดือน หลังจากนั้นหูจะงออย่างถาวร ด้วยเหตุผลนี้ เราควรซื้อแมวพันธุ์อเมริกัน เคิร์ลหลังจากที่มันมีอายุสี่เดือน แต่ทั้งนี้รูปทรงของใบหูก็ไม่ได้ส่งผลต่อลักษณะที่ดีของแมว และการเพาะพันธุ์เพื่อให้ได้แมวที่มีหูลักษณะดังกล่าวนั้นก็เพื่อใช้ในงานประกวดเท่านั้น

นิสัยและอารมณ์

แมวพันธุ์นี้เป็นแมวที่น่ารักและชอบแสดงความรัก อีกทั้งยังปรับตัวได้อย่างง่ายดาย และแม้แต่มีอารมณ์ที่เสถียร นอกจากนี้อเมริกัน เคิร์ลแทบจะไม่ก่อปัญหา หรือรบกวนเจ้าของเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่แมวพันธุ์นี้ชอบเกาะบนไหล่ของเจ้าของ และแสดงความรักโดยถูตัวหรือดุนใบหน้าที่หน้าของเจ้าของ
นอกจากนี้อเมริกัน เคิร์ลยังชอบทักทายเจ้าของโดยการใช้ศีรษะนุ่มๆ ชนลำตัว และชอบเข้าไปในครัวขณะที่เจ้าของทำอาหาร อย่างไรก็ดี แมวพันธุ์นี้ยังเข้ากับครอบครัวและเด็กได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นแมวที่ฉลาดและมีความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติ รวมถึงใช้เวลาค่อนข้างมากไปกับการสำรวจสิ่งแวดล้อมและเล่นเกม

การดูแล

อเมริกัน เคิร์ลเป็นแมวที่ได้รับการชื่นชมในแง่ของสุขภาพ ความแข็งแกร่ง และความสามารถในการปรับตัว อย่างไรก็ดี แมวพันธุ์นี้แทบจะไม่เจ็บป่วย ลูกแมวมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงเช่นกัน และตอบสนองต่อการฉีดภูมิคุ้มกันโรค อย่างไรก็ตาม บางคนสรุปว่าการที่แมวมีหูที่งอนั้นเป็นข้อบกพร่อง แต่ความจริงแล้วมันคือการกลายพันธุ์ ทั้งนี้หูของแมวเป็นลักษณะพิเศษที่งดงามของแมวพันธุ์นี้ ซึ่งทำขึ้นจากกระดูกอ่อนที่แข็งไปจนถึงปลายหู และไม่ได้ส่งผลต่อการได้ยินของแมว

ความเป็นมาและภูมิหลัง

อเมริกัน เคิร์ลสามารถเอาชนะใจคนรักแมวชาวอเมริกันและกรรมการตัดสินในช่วง 10 ปีที่มันปรากฏตัว แมวพันธุ์นี้ถือกำเนิดขึ้นในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ.1981 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีลูกแมวสองตัวที่ไม่มีใครทราบสายพันธุ์และต้นกำเนิดมาอยู่ที่บันไดหน้าประตูบ้านของ Grace Ruga ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่ง Grace สนใจลูกแมวเหล่านี้เพราะมันมีใบหูที่ม้วนไปด้านหลัง และเธอก็วางแผนให้แมวมาอาศัยด้วย ลูกแมวเหล่านี้จะมากินข้าวทุกวันและจากไปตอนกลางคืน
อย่างไรก็ตาม Grace ตั้งชื่อให้ลูกแมวว่า Panda และ Shulamith โดยตั้งชื่อตามลักษณะของเส้นขน ทั้งนี้ลูกแมวอยู่ด้วยกันเสมอมาจนกระทั่ง Panda ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง สุดท้ายแล้ว Shulamith ก็ย้ายมาอยู่กับ Ruga อย่างถาวร ในขณะที่ Panda ไปอยู่กับครอบครัวใหม่
ในเวลาต่อมา ลูกของ Shulamith ก็ได้ให้กำเนิดลูกแมวที่มีหูม้วนเช่นกัน ซึ่ง Grace ได้มอบลูกแมวตัวเมียตัวแรกที่มีชื่อว่า Mercedes ให้พี่สาว หลังจากนั้น Mercedes ก็ให้กำเนิดลูก และทั้งมันและลูกแมวก็ได้รับความสนใจจาก Nancy Kiester ซึ่งเป็นคนขายเนื้อท้องถิ่นและเป็นผู้ที่ชื่นชอบแมว เธอสนใจแมวที่มีหูม้วนพันธุ์นี้ และพยายามแต่งตั้งสายพันธุ์ โดยร่วมมือกับ Grace สุดท้ายแล้ว Shulamith และลูกแมวถูกนำมาโชว์ตัวในงานประกวดแมวในปี ค.ศ.1983 ซึ่งผู้คนต่างก็ยอมรับแมวสายพันธุ์นี้
อย่างไรก็ตาม Nancy และ Grace ก็ได้ร่วมมือกับ Jean Grimm ซึ่งเป็นผู้เพาะพันธุ์แมวและกรรมการที่เพาะพันธุ์แมวพันธุ์สก็อตติช เคิร์ล หรือสก็อตติช โฟลด์ได้สำเร็จ และเป็นผู้ที่ยืนยันว่าแมวพันธุ์นี้แตกต่างจากแมวพันธุ์อื่นๆ เนื่องจาก Jean เข้ามาช่วยเหลือ ทำให้มีการตั้งชื่อและกำหนดมาตรฐานของแมวที่มีหูม้วนเหล่านี้ และทำให้เกิดแมวพันธุ์อเมริกัน เคิร์ลอย่างที่เราเห็นกัน
ในปี ค.ศ.1987 The International Cat Association (TICA) ยอมรับแมวสายพันธุ์นี้ และในปีต่อมามันก็ได้รับตำแหน่งแชมป์จาก TICA นอกจากนี้ในปี ค.ศ.1986 Cat Fancier's Association (CFA) มอบตำแหน่งแชมป์แบบชั่วคราวให้อเมริกัน เคิร์ลเช่นกัน และในปี ค.ศ.1993 CFA ได้มอบตำแหน่งแชมป์ให้แมวพันธุ์นี้อย่างเป็นทางการ

ที่มา : https://www.honestdocs.co/american-curl